นายณรงค์ศักดิ์  พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน  เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยจีนประจำไตรมาสที่สี่ ปี 2568 ซึ่งได้มีการสำรวจระหว่าง วันที่ 19 ถึง 25 ส.ค. ผู้ให้ข้อมูลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยจีนประกอบด้วย (1) ประธานคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการหอการค้าไทยจีน (2) ประธานและกรรมการสมาชิกสมาคมต่างๆของสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และ (3) กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน รวมทั้งสิ้น จำนวน 454 คน



การสำรวจครั้งนี้ให้ความสำคัญกับนโยบายนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศอัตราการจัดเก็บภาษีนำเข้า (Reciprocal Tariff) จากไทยร้อยละ 19 ในทุกรายการสินค้า (ยกเว้นสินค้าภายใต้มาตรา 232 อาทิ รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียมทองแดงกึ่งสำเร็จรูป และอาจมีรายการอื่นๆ คือ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ไม้ ที่อัตราภาษีสูงกว่าร้อยละ 19) แต่ยังต้องเจรจานิยาม สินค้าที่เกิดจากการสวมสิทธิ์ของประเทศที่สาม (Transshipment) ว่า “สัดส่วนของมูลค่าส่วนประกอบภายในประเทศ (minimum local content)” ต้องเป็นอย่างน้อยร้อยละเท่าใด จึงจะนับว่าเป็นสินค้าไทย

ส่วนการนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เรื่องหลัก ๆ คือ ไทยจะไม่เก็บภาษีศุลกากรจากสหรัฐอเมริกา จำนวนมากกว่า 10000 รายการ ซึ่งคงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 3-5 ปี และมีกำหนดโควตานำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาสินค้าเกษตร อาทิ เนื้อหมู ซึ่งนำเข้าได้ไม่เกินร้อยละ 1 ของความต้องการ (ยกเว้นเครื่องในที่ยังไม่อนุญาตให้นำเข้า) เป็นต้น

ผลของการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยจีน ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 42 ให้ความคิดเห็นว่า การเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จมากกว่าที่คาดหวังไว้ แต่ร้อยละ 31 เห็นว่าแม้ว่าการเจรจาที่ประสบความสำเร็จแต่ยังไม่คลายกังวล ในรายละเอียดของเงื่อนไขข้างเคียง โดยเฉพาะสัดส่วนของมูลค่าส่วนประกอบภายในประเทศ (local content) ที่นิยามสินค้าไทยที่ผลิตในไทย เมื่อมีการสอบถามถึงข้อคิดเห็นต่อสัดส่วนดังกล่าวควรจะอยู่ร้อยละเท่าไหร่ถึงจะกล่าวได้ว่าสินค้านั้นเป็นสินค้าของไทยและไม่เข้าข่ายกรณีของการสวมสิทธิ์ ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 54 มีความเห็นว่าควรมีสัดส่วนที่มีส่วนประกอบของไทยต้องมีมูลค่าอย่างน้อยร้อยละ 40 จะมีความเหมาะสมและรับได้ ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 26 คิดว่าสัดส่วนดังกล่าวเป็นร้อยละ 50 ยังพอได้

ผลของการภาษีศุลกากรในอัตราใหม่ทั้งสองประเทศย่อมทำให้เกิดผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 36 และ 22 ให้ความเห็นว่าสำหรับไทย อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป และอุตสาหกรรมหนัก (เคมีภัณฑ์และพลาสติก ยานยนต์ เครื่องจักร และเครื่องใช้ไฟฟ้า) จะได้รับประโยชน์มากที่สุดตามลำดับ ส่วนการไม่เก็บภาษีศุลกากรของสินค้าเกษตรนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และถั่วเหลือง ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 48 จะทำให้ต้นทุนในการผลิต สินค้าปศุสัตว์ลดลงแต่ลดลงเพียงเล็กน้อย และผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 42.5 ที่ให้ความเห็นว่าต้นทุนในการผลิตสินค้าปศุสัตว์จะลดลงมากอย่างมีนัยยะสำคัญ 

ในส่วนของความปลอดภัยของสินค้าเกษตร ผู้ตอบแบบสำรวจมากถึงร้อยละ 84 ยังมีความกังวลในเรื่องของความแตกต่างทางมาตรฐานสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา เพราะการนำเข้าสินค้าเกษตรที่ไม่ตรงกับมาตรฐานของไทยอาจจะมีผลต่อสุขภาพ

การจัดเก็บภาษีศุลกากรในการร้อยละ 19 ต่อการส่งออกของไทย ในภาพรวมแล้วการคาดการณ์ส่งออกในครึ่งปีหลังของปี 2568 ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 45 คิดว่าการส่งออกในครึ่งปีหลังจะไม่มีความแตกต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้เดิมก่อนที่จะมีการประกาศอัตราภาษีศุลกากรร้อยละ 19 แต่มีผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 39 ที่ลงความเห็นว่าการส่งออกในครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทย

ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่คาดว่าสหรัฐอเมริกาและจีนจะสามารถตกลงอัตราภาษีที่ลดลงได้ภายในก่อนสิ้นปีนี้ เนื่องจากการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนยังไม่ไม่สิ้นสุดและได้มีการขยายระยะเวลาการเจรจาออกไปอีก ในอัตราปัจจุบันที่สหรัฐอเมริกาจะจัดเก็บภาษีจากจีนร้อยละ 30 สำหรับสินค้าทั่วไปและร้อยละ 54 สำหรับสินค้าบางบางประเภทซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่สูงมาก ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 71.5 มีความคิดเห็นว่าสหรัฐสหรัฐอเมริกาและจีน จะสามารถหาข้อตกลงและมีอัตราการจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าเดิมภายในสิ้นปี 2568 แต่ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 18.5 คิดว่าประธานาธิบดีทรัมป์ อาจมีกรณีขัดแย้งอื่นแทรกเข้ามาอีก 

 จนทำให้สหรัฐอเมริกามีการปรับอัตราภาษีสูงขึ้น ในวาระแรกของการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีทรัมป์ นักลงทุนจีนได้ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยจำนวนหนึ่ง ร้อยละ 61 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความเห็นว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในรอบนี้ ยังคงทำให้นักลงทุนจีนย้ายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นบ้างแต่ไม่มากนัก แต่ร้อยละ 16 ของผู้ตอบแบบสำรวจมีความคิดเห็นที่แตกต่างเพราะคาดว่านักลงทุนจีนจะมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

 จากบทวิจัยหลายสำนักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นว่าจีนมีความจำเป็นต้องรักษาอัตรากำลังการผลิตในประเทศเพื่อคงอัตราการเจริญเติบโตและการจ้างงาน ส่งผลให้จีนต้องเร่งระบายสินค้าส่วนเกินไปขายอย่างตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการปรับลดราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อของโลก ร้อยละ 74 ของผู้ตอบแบบสำรวจลงความเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของโลกจะมีทิศทางลดลงแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้ว่าจะมีสินค้าจีนออกขายในตลาดโลกนอกจากสหรัฐอเมริกามากขึ้น

 ข้อสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากการสำรวจครั้งนี้ แม้ว่าการประกาศอัตราภาษีศุลกากร (Reciprocal Tariff) ร้อยละ 19 จะทำให้เกิดความชัดเจนขึ้น และอัตราภาษีดังกล่าวไม่ได้แตกต่างไปจากคู่แข่งของประเทศไทยมากนัก ความกังวลในเรื่องของความเสียเปรียบโดยเปรียบเทียบจึงลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังมีความกังวลในเงื่อนไขที่ยังไม่ชัดเจนอยู่ ในเรื่องของการนิยามการสวมสิทธิ์สินค้าเพื่อส่งออก บางอุตสาหกรรมไทยอาจจะได้รับประโยชน์จากอัตราภาษีศุลกากรใหม่ แต่การนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีความแตกต่างระหว่างมาตรฐานของไทยกับสหรัฐอเมริกานั้น ยังสร้างความกังวลที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพผู้บริโภค สุดท้ายผลของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน จะทำให้นักลงทุนจีนยังมาลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อผลิตสินค้าในประเทศไทย