- สื่อปฏิรูป DAILY

((((( พื้นที่โฆษณา )))))



Breaking

Post Top Ad




วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2568

 สสว.–ธรรมศาสตร์ ร่วมค้นหาแนวทางเสริมแกร่ง SME ไทย ด้วยกองทุนรูปแบบใหม่ สู้ภัยวิกฤตเศรษฐกิจ

 

สสว. ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เฟ้นหาแนวทางการส่งเสริม SME เป้าหมายเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการช่วยเหลือ ลดภาระด้านงบประมาณของภาครัฐ และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เตรียมประยุกต์ใช้แนวทางของกองทุนประกันความเสี่ยง (BSMRS) จากประเทศญี่ปุ่น ด้วยการผนึกกำลังทั้ง SME ธุรกิจรายใหญ่ และภาครัฐ ภายใต้การวางรากฐานระบบที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายที่ช่วยให้ SME เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ SME ที่มีมากกว่า 3.2 ล้านรายทั่วประเทศ และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ที่สำคัญยังขาดมาตรการรองรับเมื่อเกิดวิกฤติต่างๆ ในฐานะที่ สสว. มีภารกิจในการจัดทำนโยบายและมาตรการส่งเสริม SME ให้สามารถอยู่รอด แข่งขันได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน จึงได้แสวงหาแนวทางการส่งเสริม SME ในรูปแบบต่างๆ โดยในปี 2568 นี้ สสว. ร่วมกับสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ค้นหารูปแบบและกลไกการส่งเสริม SME ที่จะสามารถสร้างความคล่องตัวในการสนับสนุนและช่วยเหลือที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ลดอุปสรรคจากงบประมาณภาครัฐที่มีจำกัด มีความต่อเนื่องและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย


โดยในการรวบรวมข้อมูลรูปแบบและระบบการสนับสนุน SME จากหลายประเทศ โดยเฉพาะรูปแบบ “กองทุน” พบว่า ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบการสนับสนุน SME ที่น่าจะเป็นต้นแบบในการนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย จำนวน 2 รูปแบบ ได้แก่ 1) Hometown Tax ซึ่งเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกบริจาคภาษีให้ท้องถิ่น พร้อมรับสิทธิประโยชน์ตอบแทนเป็นสินค้าของ SME ในท้องถิ่น และ 2) Business Safety Mutual Relief System–BSMRS โดย SME จ่ายเงินสมทบเป็นรายเดือนและสามารถขอรับการช่วยเหลือยามประสบวิกฤติ เช่น ขาดสภาพคล่องหรือลูกค้าล้มละลาย โดยมีลักษณะคล้าย “เงินออมที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันของกิจการ” และยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเต็มจำนวน


ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบความเป็นไปได้ โดยการสำรวจ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง พบว่า โมเดล BSMRS มีศักยภาพสูงในการนำมาประยุกต์ใช้ในไทย เพราะไม่เพียงช่วยสร้างวินัยทางการเงิน แต่จะช่วยลดการล้มแบบลูกโซ่ (Domino Effect) ที่ SME มักเผชิญเมื่อคู่ค้าล้ม หรือเมื่อสภาพคล่องสะดุด อีกทั้งยังสร้างความมั่นคงในห่วงโซ่อุปทานโดยรวม ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แต่เนื่องจากบริบทของประเทศไทยมีความแตกต่างจากประเทศญี่ปุ่น การจะทำให้โมเดล BSMRS มีความเข้มแข็งและสามารถสนับสนุนช่วยเหลือ SME ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทุกภาคส่วนมีความเห็นร่วมกันว่า ภาคธุรกิจรายใหญ่ ควรมีส่วนร่วมสมทบกองทุน เพื่อเสริมความแข็งแรงของระบบและสร้างความเชื่อมั่นให้ SME ช่วยลดภาระของภาครัฐ และยังเป็นการสร้าง “พันธมิตรเศรษฐกิจ” ที่ยั่งยืนระหว่างธุรกิจรายเล็กกับรายใหญ่ และมีความเป็นไปได้ในการดำเนินงานจริง
“รูปแบบการส่งเสริม SME นี้ ไม่ใช่เพียงการผลักดันเครื่องมือทางการเงิน แต่คือการแสวงหากลไกที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้ SME ไทย ยืนหยัดและพร้อมก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต ภายใต้กลไกที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีแรงจูงใจที่ชัดเจน จะทำให้ SME ไทยไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังสามารถช่วยให้ SME กลับมาแข่งขันได้อย่างแข็งแกร่งทั้งเวทีในประเทศในเวทีโลก ภายใต้สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นขึ้น” รักษาการ ผอ.สสว. กล่าว
อย่างไรก็ดี ผลที่ได้จากการศึกษาแนวทางการส่งเสริม SME ในรูปแบบกองทุนนี้ สสว. จะนำไปต่อยอดโดยการจัดทำรายละเอียดทั้งกลไก รูปแบบ วิธีการ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนการดำเนินงาน พร้อมทั้งวางรากฐานระบบที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ก่อนจะนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหาร สสว. และคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเชิงนโยบายในการส่งเสริม SME ของประเทศ ที่ช่วยลดภาระการใช้งบประมาณรัฐ มาเป็นการสร้างระบบที่ทุกฝ่ายร่วมกันรับผิดชอบ ในการส่งเสริม สนับสนุน ให้ SME สามารถดำเนินธุรกิจฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจทั้งในประเทศและเศรษฐกิจโลก และเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง และยั่งยืนต่อไป
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

AD ท้ายข่าว Post Bottom Ad



Pages