- สื่อปฏิรูป DAILY

((((( พื้นที่โฆษณา )))))




Breaking

Post Top Ad




วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

อีคอนไทย ร่วมกับ สภาองค์การนายจ้างอีก 16 สภาองค์การยื่นเรื่องขอคัดค้าน (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับ....)  พ.ศ..... ฉบับที่ผ่านมติเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ...
      
ที่ สัปปายะสภาสถาน ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร / เมื่อวันพุธที่ 8 ตุลาคม 2568 ดร.เนาวรัตน์ ทรงสวัสดิ์ชัย ประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) โดยร่วมกับ สภาองค์การนายจ้างอีก  16  สภาองค์การนายจ้าง ได้ลงนามในหนังสือคัดค้าน 

1. (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับ..) พ.ศ....สำเนาเลขรับ 157/2567 วันที่ 18 ธันวาคม 2567  

2. (ร่าง) พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับ..) พ.ศ....สำเนาเลขรับ 158/2567 วันที่ 18 ธันวาคม 2567

3. ข้อเสนอแนะและสรุปประเด็นปัญหาในข้อกฎหมายที่กระทบต่อสถานประกอบการ/นายจ้าง

ดร.เนาวรัตน์  ทรงสวัสดิ์ชัย ประธานสภาองค์การนายจ้างฯ กล่าวว่า.. คณะสภาองค์การนายจ้าง ขอเสนอผู้ลงนามแสดงความเห็นต่อท้าย พร้อมด้วยบันทึกรายละเอียด  สรุปข้อหารือที่เป็นประเด็นปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการ  ซึ่งข้าพเจ้าและคณะสภาองค์การนายจ้าง ได้สรุปสาระสำคัญที่เป็นเหตุผลที่จะขอเสนอแนะ และสรุปประเด็นปัญหาในข้อกฎหมายที่กระทบต่อสถานประกอบกิจการ ตามเอกสารแนบท้ายนี้  เพื่อให้ท่านได้โปรดพิจารณาทบทวนตามที่ ข้าพเจ้าและคณะสภาองค์การนายจ้าง ได้นำเสนอมานี้  


(ร่าง) ฉบับที่มีเลขรับ 157/2567 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เสนอโดย นายจรัส คุ้มไข่น้ำ สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร พรรคประชาชน

หลักการ  มีแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541  ดังต่อไปนี้

• แก้ไขเพิ่มเติมระยะเวลาทำงานของลูกจ้าง (แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23) จากเดิมทำงาน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ลดลงเป็น 40  ชั่วโมงต่อสัปดาห์

• แก้ไขเพิ่มเติมวันหยุดประจำสัปดาห์ของลูกจ้าง (แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 28) เพิ่มวันหยุดประจำสัปดาห์ 1 วันเป็น  2 วัน

• แก้ไขเพิ่มเติมสิทธิการลาพักผ่อนประจำปีของลูกจ้าง (แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 30)

(ร่าง) ฉบับที่มีเลขรับ 158/2567 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 เสนอโดย นางสาววรรณวิภา ไม้สนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน

หลักการ  มีแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541  ดังต่อไปนี้

• แก้ไขเพิ่มเติมในการจ้างงานที่มีความเท่าเทียมในทุกด้านให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างเท่าเทียมด้วย โดยไม่เลือกปฏิบัติ (แก้ไขเพิ่มเติม ในมาตรา 15)  

• แก้ไขเพิ่มเติมให้การลาเนื่องจากมีประจำเดือน มิให้ถือว่าเป็นวันลาป่วย (เดิมมีสิทธิอยู่แล้ว 30 วันต่อปี) (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 32/3)

3. กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลาไปดูแลบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลอื่นใดที่มีความใกล้ชิด (เพิ่มมาตรา32/1)

4. กำหนดให้ต้องจัดให้มีสถานที่ที่เหมาะสมและอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็น เพื่อให้ลูกจ้างสามารถให้นมบุตรหรือ      

บีบน้ำนมในที่ทำงาน (เพิ่มมาตรา 39/2)

5. กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีสิทธิลาเนื่องจากมีประจำเดือน (เพิ่มมาตรา 40/1)

สืบเนื่องจากการแก้ไขเพิ่มในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541  ซึ่งมีสาระสำคัญในภาคบังคับใช้  ปัจจุบันนั้น เหมาะสมแล้ว  จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ไข หากผลของการแก้ไขฉบับนี้มีผลใช้บังคับจะเป็นเหตุ  ให้เกิดภาระและปัญหาการจ้างงานในหลายประการ  ดังต่อไปนี้..

1. ส่งผลกระทบต่อธุรกิจทำให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น กระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงาน

2. มีผลกระทบโดยตรงกับผู้ประกอบกิจการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมประเภท วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 

ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมเป็นส่วนมากของประเทศ  อาจต้องปิดตัวลง

3. ก่อให้เกิดการขาดสภาพคล่องในการลงทุนภายในประเทศ และจากการลงทุนของผู้ประกอบการต่างประเทศด้วย

4. อาจเป็นปัญหาให้เกิดผลกระทบย้อนกลับไปถึงการจ้างงานของลูกจ้างในอนาคต ซึ่งผู้ประกอบกิจการจะต้องแสวงหา

รูปแบบการจ้างงานรูปแบบใหม่ต่อไปที่เหมาะสมกว่าต่อไปเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้ เช่นการนำ AI  หรือนำหุ่นยนต์มาใช้แทนการจ้างงาน   


** ข้อเสนอแนะ..

ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ ไม่เหมาะสมในหลายด้าน ซึ่งการลงทุนในประเภทกิจการค้าและอุตสาหกรรม ที่ต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ทำให้การค้าในประเทศเข้าสู่การแข่งขันได้ยากขึ้นในรูปแบบของกฎหมาย ทำให้การค้าในประเทศเข้าสู่การแข่งขันได้ยาก สมควรให้ใช้มาตรการยืดหยุ่นในการเพิ่มคุณภาพชีวิตในการจ้างแรงงาน  โดยให้นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันเอง ตามความเหมาะสมของสภาพในการทำงานของแต่ละองค์กร จะได้มีการเสริมสร้างสันติสุขในการทำงานได้ดีกว่า หลักการทำประชาพิจารณ์ขาดความโปร่งใสและไม่ทั่วถึง สามารถอ้างอิงได้ว่า  ทางฝ่ายผู้ประกอบกิจการไม่มีส่วนร่วมที่เหมาะสมในการแสดงความคิดเห็นในการจัด ร่าง “ แก้ไขเพิ่มเติม ” พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ในครั้งนี้  โดยหลักการปกติแล้ว จะมีผู้แทนจากสภาองค์การนายจ้าง  สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าและคณะ  ต้องเป็นผู้รับภาระทางกฏหมายที่มีผลใช้บังคับในครั้งนี้    

เหตุผลที่เป็นสาระสำคัญของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541  ฉบับที่ใช้ปัจจุบันนี้ ได้มีการปรับปรุงแก้ไข มาแล้วหลายครั้ง  จึงเป็นกฎหมายแรงงานที่ใช้บังคับได้เหมาะสมอยู่แล้ว และ สอดคล้องกับบทบัญญัติขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) อีกด้วย


ทั้งนี้ ได้มีสภาองค์การนายจ้างได้ร่วมกันลงนามและยื่นหนังสือถึงท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วย.. 

1. สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย (สภา 1)

2. สภาองค์การนายจ้างสภาอุตสาหกรรมเอ็สเอ็มอี แห่งประเทศไทย  (สภา3)

3. สภาองค์การนายจ้างผู้ค้าและบริการเครื่องอุปโภคบริโภค (สภา4)

4. สภาองค์การนายจ้างแห่งชาติ (สภา 5)

5. สภาองค์การนายจ้างธุรกิจไทย (สภา 6)

6. สภาองค์การนายจ้างไทยสากล (สภา 7)

7. สภาองค์การนายจ้างการเกษตร ธุรกิจ อุตสาหกรรมไทย (สภา 8)

8. สภาองค์การนายจ้างธุรกิจ  การค้าและบริการไทย   (สภา 9)

9. สภาองค์การนายจ้างไทย (สภา 11)

10. สภาองค์การนายจ้าง ธุรกิจ  และอุตสาหกรรมแห่งชาติ (สภา12)

11. สภาองค์การนายจ้างธุรกิจอุตสาหการไทย  (สภา13)

12. สภาองค์การนายจ้าง เอส.เอ็ม.อี แห่งประเทศไทย (สภา 14)

13. สภาองค์การนายจ้างบริการไทย (สภา 15)

14. สภาองค์การนายจ้างธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว-ภาค 8  (สภา 16)

15. สภาองค์การนายจ้างเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม (สภา 17)

16. สภาองค์การนายจ้างเพื่อการลงทุนแห่งประเทศไทย (สภา 18)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

AD ท้ายข่าว Post Bottom Ad



Pages