ตร.ภ.1 แถลงข่าวจับกุมบุหรี่ไฟฟ้า ของกลางเพียบ ! มูลค่า 20,000,000 ล้านบาท
ตามนโยบายของนาย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ยกระดับนโยบายเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและมาตการการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งอาชญากรรมอื่นๆ ตามมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบในระยะยาวต่อความมั่นคงของประเทศในอนาคต
พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำนโยบายรัฐบาลมาเป็นแนวทางในการ ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน และขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวสู่การปฏิบัติ
ตำรวจภูธรภาค 1 โดย พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล รอง ผบช.ภ.1, พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.ภ.1 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดที่มีอำนาจหน้าที่เร่งรัดสืบสวนปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในเขตพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 อย่างเด็ดขาดและจริงจัง
บก.สส.ภ.1 นำโดย พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.ประธาน นันทกอบกุล รอง ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.พีรศักดิ์ รอดบน รอง ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.มณเทียร เบ้าทอง รอง ผบก.ปฏิบัติราชการ บก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.วิศิษฏ์ มะอักษร รอง ผบก.สส.ภ.1, พ.ต.อ.วิทิต จันทร์เอี่ยม รอง ผบก.สส.ภ.1 , พ.ต.อ.พูนสุข เตชะประเสริฐพร ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน กก.สส.1 บก.สส.ภ.1
ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาขนบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 2 ราย ดังนี้
1. นายมัรวาน อายุ 23 ปี ที่อยู่ 83/2 ม.12 ต.ลำไพล อ.เทพา จว.สงขลา ในข้อหา “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง หรือเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกอากร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560”
2. นายอิลรอเฮง อายุ 28 ปี ที่อยู่ 14/2 ม.4 ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จว.ปัตตานี ในข้อหา “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง หรือเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกอากร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560”
ของกลางที่ได้จากการตรวจยึด
บุหรี่ไฟฟ้า รวมจำนวนทั้งสิ้น 48,301 ชิ้น
รถยนต์กระบะตู้ทึบ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น รีโว้ สีขาว จำนวน 1 คัน
รถยนต์กระบะตู้ทึบ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น รีโว้ สีเทา จำนวน 1 คัน
โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Nokia จำนวน 1 เครื่อง
โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Samsung จำนวน 1 เครื่อง
โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Oppo จำนวน 1 เครื่อง
โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Samsung จำนวน 1 เครื่อง
สถานที่จับกุม ริมถนนสาธารณะ หมู่ 6 ต.บางน้ำจืด อ.เมืองสมุทรสาคร จว.สมุทรสาคร
พฤติการณ์กล่าวคือ สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 28 ก.ย.68 เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุมนายจีรพิวัฒน์ฯ พร้อมด้วยของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 4,476 ชิ้น รวมมูลค่าประมาณ 3,088,440 บาท ในความผิดฐาน “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้ามหรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง หรือเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกอากร ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560” นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี จว.ลพบุรี ดำเนิดคดีตามกฎหมายต่อไป
ต่อมาจากการสืบสวนขยายผลพบกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงบุหรี่ไฟฟ้า จากพื้นที่ภาคใต้ ขึ้นมากระจายในพื้นที่ภาคกลาง เพิ่มเติม โดยพบรถยนต์กระบะตู้ทึบสีเทา และรถยนต์กระบะตู้ทึบสีขาว เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้คอยเฝ้าสังเกตการณ์และทำการติดตามจนตรวจพบขณะกลุ่มผู้ต้องหา ลักลอบลำเลียง บุหรี่ไฟฟ้าของกลางจากพื้นที่ภาคใต้เข้าสู่พื้นที่ภาคกลาง โดยได้เข้าแสดงตัวขอทำการตรวจค้น และจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 1 นายมัรวาน ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะสีขาว พร้อมด้วยของกลางบุหรี่ไฟฟ้า ยี่ห้อ M ZERO จำนวน 19,441 ชิ้น และผู้ต้องหาที่ 2 นายอิลรอเฮง ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะตู้ทึบสีเทา พร้อมด้วยของกลาง บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 28,640 ชิ้น รวมของกลางทั้งหมด 48,301 ชิ้น นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยของกลางทั้งหมดถูกลำเลียงมาจากพื้นที่ภาคใต้ และนำมาจำหน่ายในพื้นที่ภาคกลาง มีของกลางมูลค่ารวมประมาณ 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาท)
ทั้งนี้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงการกระทำผิดดังกล่าวว่าได้มีกลุ่มบุคคลได้ลักลอบนำบุหรี่ไฟฟ้ามาจัดจำหน่าย ซึ่งอาจทำให้วัยรุ่นและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย และประชาสัมพันธ์ว่าการมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครอง มีความผิดทางกฎหมาย ทั้งนี้ ทางตำรวจภูธรภาค 1 จะดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว โดยใช้มาตรการลงโทษทางกฎหมายในฐานความผิดขั้นสูงสุด เพื่อเป็นแบบอย่างมิให้การกระกระทำความผิด และจะดำเนินการจับกุมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนสืบไป โดยหากพบเห็นการกระทำผิดหรือพบเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดดังกล่าว สามารถแจ้งไปยังสายด่วน 191 เพื่อดำเนินการปราบปราม จับกุม ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไป
***********************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น